Home » เคล็ดลับทำ On-Page SEO: เพิ่มอันดับใน SERP อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันการแข่งขัน SEO บนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) มีความเข้มข้นมากขึ้น อัลกอริทึมของ Google และ Search Engines อื่น ๆ มีการพัฒนาเพื่อให้การจัดอันดับเว็บไซต์นั้นสะท้อนถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือจริง ๆ โดยหนึ่งในหลักการสำคัญที่ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินคุณภาพคือ E-E-A-T ที่จะช่วยให้ Google สามารถกรองและนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพแก่ผู้ใช้งาน (User) ได้ดีขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพนั้น การทำ On-page SEO หรือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญ การใช้ E-E-A-T ในการสร้างเนื้อหาและปรับปรุงเว็บไซต์จะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น Maz Business Consultant บทความในวันนี้ จะพาคุณไปเจาะลึกถึงเคล็ดลับการทำ On-page SEO อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวิธีการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์เพื่อส่งเสริมการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Google E-E-A-T ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ On-Page SEO อย่างไร?
Google ได้เปิดตัวอัลกอริทึม E-E-A-T เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่กระจายข้อมูลที่ผิดบนเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งหลายครั้งข้อมูลเท็จเหล่านี้ถูกสื่อสารออกมาในลักษณะที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ด้วยเหตุนี้ Google จึงพัฒนาเกณฑ์เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลและแยกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน หากเว็บไซต์ไหนให้ข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน หรือใช้วิธีการเขียนที่เกินจริง เว็บไซต์นั้นอาจมีอันดับ SEO ที่ลดลงและเสี่ยงต่อการถูกปิดการมองเห็น
E-E-A-T Factor: 4 หลักเกณฑ์สำคัญของ Google ได้แก่
- Experience (E): การนำเสนอเนื้อหาจากประสบการณ์จริง
- Expertise (E): การเขียนเนื้อหาอย่างครบถ้วนด้วยความเชี่ยวชาญ
- Authoritativeness (A): การสร้างตัวตนและความเป็นแหล่งอ้างอิง
- Trustworthiness (T): ความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส
กลยุทธ์ทำ SEO On-page ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ Google Algorithm
การทำ On-page SEO คืออะไร?
On-page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาหรือส่วนต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ เพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Google หรือ Googlebot เข้ามาอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลของเว็บไซต์ เพื่อนำไปจัดอันดับ (Ranking) บนหน้า SERP โดยส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้าเว็บไซต์ที่ควรใส่ใจ ได้แก่ เนื้อหา, Meta Tag, Heading Tag, Image AlT, URL
1.การเลือกใช้คีย์เวิร์ดและปรับแต่งเนื้อหาให้มีความเหมาะสม
เมื่อทราบหัวข้อที่ต้องการเขียนแล้ว ขั้นตอนแรกของการทำ SEO คือการค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับจุดประสงค์ในการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย ในการเขียนบทความ ผู้เขียนควรกระจายคีย์เวิร์ดไปยังตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป (หากน้อยเกินไป Google อาจไม่สามารถค้นเจอบทความของเรา) นอกจากนี้ การเลือก Focus Keyword และ Sub Keyword ควรสอดคล้องกับเนื้อหาที่กำลังเขียนเพื่อให้บทความมีความชัดเจนและตอบโจทย์
การจัดรูปแบบเนื้อหา เช่น การใช้ตัวหนา การใส่ Number List หรือ Bullet จะช่วยให้บทความอ่านง่ายขึ้น และการทำ On-page SEO ด้วยเทคนิคนี้ยังเพิ่มโอกาสให้ Google นำเนื้อหาไปแสดงเป็นคำตอบสั้น ๆ (Featured Snippets) สำหรับการค้นหาที่ผู้ใช้งานสามารถเห็นได้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าอ่านในบทความอีกด้วย
2.เพิ่ม Web Traffic ให้กับเว็บไซต์ด้วย Meta Tag
Meta Tags คือข้อความที่ใช้อธิบายเนื้อหาหรือคอนทเนต์ที่เผยแพร่ออกไปเพื่อให้ Search Engines เข้ามาอ่านและเข้าใจว่าบทความที่เขียนไปเกี่ยวกับอะไร โดยจะอยู่ในระบบหลังบ้าน (Source Code) แต่ไม่ได้แสดงให้ User เห็นผ่านหน้าเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยจัดอันดับการค้นหา และดึงข้อมูลแสดงผลหลังมีผู้ค้นหา Meta Tags ถือเป็นตัวช่วยในการจัดอันดับการค้นหา ที่ผู้เขียนสามารถเพิ่มคีย์เวิร์ดสำคัญเข้ามาช่วยเทคนิค SEO ได้อีกด้วย
3 Meta Tag ที่จำเป็นต่อการทำ SEO
- Meta Title คือ ตำแหน่งข้อความที่แสดงในอยู่บนหน้าแสดงผล SERP และแถบด้านบนสุดหรือ Headline ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับข้อมูลที่ User ต้องการทราบ และทราบว่าเนื้อหาภายในเกี่ยวข้องกับอะไร
- Meta Description คือ การสรุปรายละเอียดของเนื้อหาหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ แสดงผลด้านล่างของ Meta Title โดยข้อความทั้งสองตำแหน่งจะช่วยดึงดูดให้ User คลิกเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ หากเนื้อหาที่เกริ่นไปมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการทราบ
- Meta Robots คือ เครื่องมือของเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่บอก Web Crawlers และ Search Engines ให้เข้ามาเก็บข้อมูล (Index) หน้าใดหรือลิงก์ไหนไม่ต้องเก็บข้อมูลหน้าไหนบ้าง เพื่อให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูล ซึ่งในทางกลับกันหากเว็บไซต์ไม่มี Meta Robots และเว็บไซต์ไม่ได้ถูกจัดเก็บข้อมูล จะส่งผลให้เว็บไซต์นั้น ๆ ไม่แสดงผลอันดับในหน้า SERP
3.ปรับโครงการ URL ให้เป็นมิตรกับการทำ SEO
URL คือ ที่อยู่เว็บไซต์ที่แสดงให้เห็นถึงหน้าเว็บเพจนั้น ๆ การใช้ URL สั้น กระชับ และมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในอย่างชัดเจน จะทำให้ Search Engines เข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น ดูน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับหลักการ E-E-A-T ด้วยเทคนิคแนะนำการปรับแต่งดังนี้
- มี Keyword ประกอบใน URL
- เลือกใช้อักขระหรือตัวอักษรกระชับเข้ากับเนื้อหาของเพจ
- การใช้ URL ภาษาไทยอาจทำให้ Google ไม่เข้าใจและเกิดการแปลที่ไม่ Support เว็บเพจ
4.การใช้ Heading Tags อย่างถูกต้อง (H1 - H6)
โครงสร้างของ Heading Tags เป็นสิ่งสำคัญในการจัดวางเนื้อหาส่วน “หัวข้อบทความ” โดย Heading Tags จะช่วยแบ่งเนื้อหาให้เป็นส่วน ๆ อย่างเป็นระเบียบและช่วยให้ Google เข้าใจหัวข้อและเนื้อหาของหน้าเว็บได้ดีขึ้น การใส่คีย์เวิร์ดหลักและรองในหัวข้อ H1 – H6 จะช่วยซัพพอร์ตเทคนิค SEO และทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นโครงสร้างเนื้อหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
5.การใช้ Internal Links และ External Links
การเพิ่มลิงก์ภายใน (Internal Links) และลิงก์ภายนอก (External Links) ในหน้าเว็บเพจ ช่วยให้ Google เข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้ดีขึ้น การใช้ Internal Links เชื่อมโยงกับหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มการใช้งานและการเรียกดูหน้าในเว็บไซต์มากขึ้น ในขณะที่ External Links ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือในสายตาของ Search Engines
การทำ On-page SEO เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบบนหน้า SERP และจัดอันดับได้ดีขึ้นบน Google โดยการผสานหลักการอัลกอริทึม Google E-E-A-T เข้ากับเคล็ดลับการทำ On-page SEO ข้างต้น จะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือในสายตาของ Google ทั้งในด้านคุณภาพเนื้อหาและการใช้งานจริงของ User เพราะการทำ SEO ที่ดีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ด แต่เป็นการสร้างสรรค์เนื้อหาที่ดี มีคุณภาพ และเชื่อถือได้ เพื่อให้ User ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ดังนั้น การลงทุนกับเวลาและความพยายามในการทำ On-page SEO อย่างถูกต้อง จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว