SXO vs SEO เทรนด์ใหม่ที่ธุรกิจต้องรู้ในปี 2025

SXO vs SEO เทรนด์ใหม่ที่ธุรกิจต้องรู้ในปี 2025
สารบัญ

เมื่อพูดถึงการทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้าเห็นและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เรามักนึกถึงการทำ SEO (Search Engine Optimization) และกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน Google ได้พัฒนามาตรการใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้ นั่นคือ SXO (Search Experience Optimization) ซึ่งเป็นชุดเมตริกที่วัดประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริง เพื่อให้เว็บไซต์สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น บทความในวันนี้ Maz Business Consultant จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงข้อแตกต่างระหว่าง SXO และ SEO และแนวทางในการนำมาใช้ส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในปี 2025

SXO คืออะไร มีบทบาทกับการตลาดดิจิทัลอย่างไร

SXO (Search Experience Optimization) คือ การใช้เทคนิค SEO ผสมผสานกับการออกแบบ UX (User Experience) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ตั้งแต่การค้นหาบน Google ไปจนถึงการใช้งานหน้าเว็บไซต์จริง ๆ โดยมุ่งเน้นให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย และได้รับความพึงพอใจจากการใช้งานหน้าเว็บไซต์ เช่น เนื้อหาอ่านง่าย เว็บไซต์โหลดเร็ว มีการจัดเรียงข้อมูลที่ชัดเจน และรองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Friendly) ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้ให้ใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์มากขึ้น ลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ซึ่งมีส่วนช่วยให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ดีขึ้น

โดยภาพรวมการทำ SXO มีความคล้ายกับการทำ CRO (Conversion Rate Optimization) หรือเป็นการปรับเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น

  • เว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานได้ทุกอุปกรณ์ (Desktop, Tablet, Mobile)
  • เว็บไซต์ที่ใช้เวลาดาวน์โหลดรูปภาพและอุปกรณ์ได้รวดเร็ว ไม่เกิน 3 นาที
  • ปุ่ม CTA หรือ Call to Action ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานตัดสินใจง่ายขึ้น
  • แผนผังเว็บไซต์ใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้เร็วที่สุด

ทำ SEO แล้วจำเป็นต้องทำ SXO ด้วยไหม สำคัญอย่างไร

  • เสิร์ชเอนจิน (Search Engines) ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เพราะต้องการให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ตรงใจและมีประสบการณ์การค้นหาที่ดี ในขณะเดียวกัน เว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ก็มีโอกาสที่จะติดอันดับสูงและมั่นคงกว่า
  • ในยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลมหาศาลได้อย่างง่ายดาย ผู้ใช้มีความคาดหวังสูงว่าการค้นหาต้องรวดเร็ว แม่นยำ และใช้งานง่าย หากเว็บไซต์ของคุณไม่ตอบโจทย์หรือใช้งานยาก ผู้ใช้ก็พร้อมที่จะคลิกออกทันทีเพื่อเข้าไปยังเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ตอบสนองได้ดีกว่า
  • สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจ การใช้เทคนิค SXO ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับได้นานขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ผู้ใช้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้เร็วขึ้นเพราะประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น

เทคนิค SEO คืออะไร ช่วยดันเว็บไซต์ธุรกิจให้ติดหน้า Google ได้จริงหรือไม่

SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ รองรับการติดอันดับในหน้าผลการค้นหาของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ โดยอาศัยการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด สร้างเนื้อหาที่ตรงกับคำค้นหา และการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าชมของผู้ใช้งาน และสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น 

  • การจัดลำดับหัวข้อ H1-H6 
  • การจัดการ Meta Description 
  • การเพิ่มลิงก์ภายในและภายนอก
  • การเรียบเรียงเนื้อหาให้ถูกต้องชัดเจน
SXO และ SEO เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
SEO SXO
เป้าหมาย
ทำอันดับให้สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา
ทำอันดับให้สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา และเน้นที่ประสบการณ์ผู้ใช้ตั้งแต่เริ่มค้นหาจนถึงการใช้งานเว็บไซต์
ขั้นตอน
ปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ
ปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ผู้ใช้งาน

ผลลัพธ์         

วัดผลด้วยการดูอันดับการค้นหา การเข้าชม (Traffic)
วัดผลด้วยการดูอันดับการค้นหา การเข้าชม (Traffic), อัตราการคลิก (CTR), อัตราการกลับมาใช้ซ้ำ (Return Visits), ปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์ (User Engagement)

ประโยชน์ของการทำ SXO สำหรับธุรกิจในปี 2025

1.เพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า

การทำ SEO มักจะเน้นการทำอันดับและเพิ่มยอด Traffic และ 80% ออกจากเว็บไซต์เพราะได้รับประสบการณ์ไม่ดี เช่น การเรียบเรียงข้อมูล หรือข้อมูลยังไม่ตอบโจทย์ แต่ SXO จะเข้ามาช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน ทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากขึ้น โดยการสร้างความพึงพอใจและนำเสนอข้อมูลที่เข้าถึงง่าย

2.เน้นประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้ใช้มากกว่าเทคนิค SEO

SXO มุ่งเน้นให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาท่ามกลางบทความยาวเกิน 1,000 คำ ผู้ใช้จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ไว และไปใช้ชีวิตต่อได้ทันที นอกจากนี้ การออกแบบที่ตอบโจทย์ยังช่วยให้ผู้ใช้ทำธุรกรรมหรือค้นหาข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมได้อย่างสะดวก ส่งผลให้เกิดความประทับใจในการใช้งานเว็บไซต์

3.สร้างอันดับผลการค้นหาที่ยั่งยืน

การที่ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลหรือคำตอบที่ต้องการได้จริงบนเว็บไซต์ ช่วยลดอัตราการออกจากหน้าและเพิ่มระยะเวลาการใช้งานบนเว็บ ส่งผลให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยให้อันดับในการค้นหามีความมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

วิธีนำ SXO มาปรับใช้ร่วมกับ SEO

การนำ SXO มาผสมผสานกับ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณตอบสนองทั้งความต้องการในการค้นหาและประสบการณ์ใช้งานที่ดี โดยสามารถทำได้ดังนี้

  1. ควรเน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าต่อผู้ใช้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ใส่คีย์เวิร์ดเท่านั้น
  2. ทำให้การแสดงผลในแต่ละหน้ามีความง่ายต่อการใช้งาน
  3. ใช้เทคนิคการปรับปรุงภาพ ลดขนาดไฟล์ และใช้โฮสต์ที่มีประสิทธิภาพ
  4. ควรออกแบบหน้าเว็บให้รองรับทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้สะดวกทุกอุปกรณ์

ในปี 2025 การทำการตลาดออนไลน์ไม่ใช่แค่การเพิ่ม Traffic อย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับ SXO เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ การผสมผสานระหว่าง SEO และ SXO จะช่วยให้ธุรกิจของคุณไม่เพียงแต่มีอันดับสูงขึ้นในการค้นหา แต่ยังทำให้ผู้ใช้รู้สึกพึงพอใจและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้มากขึ้น ซึ่งในยุคที่การแข่งขันสูงแบบนี้ SXO ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวนำคู่แข่งไปอีกขั้น