ROI Analysis ใน Feasibility Study การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน

ROI Analysis ใน Feasibility Study การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน
สารบัญ

ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) และการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน (ROI Analysis) เพื่อประเมินว่าคุ้มค่าหรือเสี่ยงเกินไป 

MAZMAKER เราขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้สนใจเริ่มต้นธุรกิจ มาทำความเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้งตั้งแต่จุดเริ่มต้น เพราะการมีข้อมูลและความรู้ที่ชัดเจน จะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความหมายของ ROI ในการทำ Feasibility Study

ในการทำ Feasibility Study  ของธุรกิจ หนึ่งในหัวใจสำคัญคือการวิเคราะห์ ROI (Return on Investment) หรือผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ช่วยประเมินว่าการลงทุนที่กำลังพิจารณาอยู่นั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับกับต้นทุนที่ใช้ไป

ROI ถือเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโลกธุรกิจ เนื่องจากเข้าใจง่าย ใช้เปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างทางเลือกการลงทุนที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน และยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความสำคัญของ ROI ในการทำ Feasibility Study

หลังจากทำ Feasibility Study เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจแล้ว ขั้นตอนถัดไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือที่เรียกว่า ROI (Return on Investment) ซึ่งช่วยประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน โดยนักลงทุนและผู้บริหารสามารถใช้ ROI เป็นเครื่องมือในการพิจารณาว่าการลงทุนใดให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ใช้ไป 

นอกจากนี้ยังช่วยเปรียบเทียบทางเลือกการลงทุน เพื่อเลือกแนวทางที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจโดยหาก ROI มีค่าเป็นบวกและอยู่ในระดับสูงก็สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ว่าควรเดินหน้าลงทุนต่อหรือไม่ รวมทั้งวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด โดยเฉพาะในโลกของการตลาดดิจิทัลที่ ROI จะช่วยชี้ให้เห็นว่าเงินที่ใช้จ่ายไปในแต่ละแคมเปญให้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่าหรือไม่

ข้อจำกัดที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์ ROI

แม้ ROI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณาร่วมด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการวิเคราะห์ Feasibility Study

  1. ROI ไม่ได้สะท้อนว่าเมื่อไรจะได้รับผลตอบแทน เช่น ROI 50% ภายใน 1 ปี อาจน่าสนใจกว่า ROI 100% ที่ใช้เวลานานถึง 10 ปี
  2. การวิเคราะห์ ROI เพียงอย่างเดียวอาจมองข้ามความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุน เช่น ROI สูงอาจมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่า
  3. บางกรณีอาจมีความคลาดเคลื่อนจากการใช้ต้นทุนไม่เหมือนกันในการคำนวณ เช่น บางธุรกิจอาจใช้เฉพาะต้นทุนผันแปร ขณะที่บางแห่งใช้ต้นทุนรวมทั้งหมด

สูตรการคำนวณ ROI ในการทำ Feasibility Study

การวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROI (Return on Investment) ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาความเป็นไปได้ ที่ช่วยประเมินว่าการลงทุนในโครงการนั้นให้ความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด

สูตรการคำนวณ ROI

ROI = (กำไรสุทธิ ÷ ต้นทุนการลงทุน) × 100
หรือ
ROI = ((กำไรจากการลงทุน − ต้นทุนการลงทุน) ÷ ต้นทุนการลงทุน) × 100

  • กำไรสุทธิ หมายถึง รายได้ทั้งหมดจากการลงทุน หักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  • ต้นทุนการลงทุน คือ เงินทุนที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจหรือโครงการนั้น
  • กำไรจากการลงทุน คือ ผลตอบแทนที่ได้รับหลังจากหักค่าใช้จ่าย หากมากกว่าต้นทุนถือว่ามีกำไร หากน้อยกว่าถือว่าขาดทุน

ความหมายของค่า ROI

ค่า ROI ความหมาย
ROI สูง
การลงทุนมีประสิทธิภาพ ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ROI ต่ำ
การลงทุนมีความเสี่ยงหรือผลตอบแทนไม่เพียงพอ
ROI เท่ากับ 0
การลงทุนไม่ได้สร้างกำไรหรือขาดทุนใดๆ
ค่า ROI ที่เหมาะสมในการทำ Feasibility Study สำหรับแต่ละธุรกิจ

ก่อนตัดสินใจลงทุนในธุรกิจใดๆ การทำFeasibility Study เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยประเมินความเป็นไปได้และแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ซึ่งระดับของ ROI ที่ถือว่าดีจะขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจทั่วไปหากมี ROI สูงกว่า 10–20% มักถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจและมีศักยภาพเติบโต อสังหาริมทรัพย์ที่มี ROI ประมาณ 5–10% ต่อปีถือว่าคุ้มค่าในระยะยาว ขณะที่ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7–10% ต่อปี และหากเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ นักลงทุนมักคาดหวัง ROI สูงกว่า 20–30% เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงกว่า ดังนั้น การศึกษาความเป็นไปได้อย่างรอบด้านจะช่วยให้สามารถประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนได้อย่างแม่นยำและมั่นใจยิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ROI Analysis ใน Feasibility Study

ROI (Return on Investment) คือตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเปรียบเทียบกำไรสุทธิกับต้นทุนการลงทุน ความสำคัญคือช่วยประเมินความคุ้มค่า เปรียบเทียบทางเลือกการลงทุน สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด

สูตรคำนวณ ROI คือ (กำไรสุทธิ / ต้นทุนการลงทุน) x 100 หรืออีกวิธีคือ ((กำไรจากการลงทุน – ต้นทุนการลงทุน) / ต้นทุนการลงทุน) x 100 ผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์บ่งบอกว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน

ROI ที่ดีแตกต่างกันตามประเภทธุรกิจ: ธุรกิจทั่วไปควรมากกว่า 10-20%, อสังหาริมทรัพย์ควรมากกว่า 5-10% ต่อปี, ตลาดหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10% ต่อปี และธุรกิจสตาร์ทอัพควรมากกว่า 20-30% เพื่อชดเชยความเสี่ยง

ข้อจำกัดหลักมี 3 ประการ: ไม่คำนึงถึงคุณค่าของเงินตามกาลเวลา (Time Value of Money), ไม่พิจารณาปัจจัยความเสี่ยงของการลงทุน และมีวิธีคำนวณที่แตกต่างกันไปในแต่ละกรณีซึ่งอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการเปรียบเทียบ

ROI สามารถนำไปใช้ในหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าหรือซื้อขาย), ตลาดหุ้น (วัดผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์), การตลาด (วัดประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา), สตาร์ทอัพเทคโนโลยี (ประเมินโอกาสทำกำไร) และค้าปลีก (วิเคราะห์ประสิทธิภาพกลยุทธ์ต่างๆ)