Home » ROI Analysis ใน Feasibility Study การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน
ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจใด ๆ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) และการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน (ROI Analysis) เพื่อประเมินว่าธุรกิจนั้นมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่ เมื่อลงทุนไปแล้วจะสามารถสร้างผลกำไรได้หรืออาจเผชิญกับความเสี่ยงที่นำไปสู่การขาดทุน
ดังนั้น เราจึงควรมีความรู้และความเข้าใจในธุรกิจที่ต้องการลงทุนอย่างลึกซึ้ง เพื่อลดความผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด การศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนแต่ละครั้งจะช่วยให้เราประเมินความคุ้มค่าและระดับความเสี่ยงได้อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะเป็นกำไรมากกว่าการขาดทุน
ROI ใน Feasibility Study คืออะไร?
ROI หรือ Return on Investment แปลว่า ผลตอบแทนจากการลงทุน เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินว่าการลงทุนใด ๆ คุ้มค่าหรือไม่ โดยการเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้รับกับต้นทุนที่ใช้ไป
ROI เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางการเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในธุรกิจ เนื่องจากเป็นค่าที่เข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบการลงทุนที่แตกต่างกันได้ และช่วยให้ธุรกิจหรือผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สูตรการคำนวณ ROI ใน Feasibility Study คือ?
สูตรการคำนวณ ROI
ROI = ( กำไรสุทธิ / ต้นทุนการลงทุน ) x 100
หรือ ROI=((กำไรจากการลงทุน−ต้นทุนการลงทุน)/ต้นทุนการลงทุน)) ×100
- กำไรสุทธิ หมายถึง ผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด หักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- ต้นทุนการลงทุน หมายถึง เงินทุนที่ใช้ในการลงทุน
- กำไรจากการลงทุน หมายถึง ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากมีรายได้มากกว่าต้นทุนถือว่ามีกำไร แต่หากต่ำกว่าต้นทุนถือว่าเกิดการขาดทุน
ความหมายของค่า ROI
- ROI สูง หมายถึง การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพดี ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า
- ROI ต่ำ หมายถึง การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพต่ำ อาจจะขาดทุนหรือให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า
- ROI เท่ากับ 0 หมายถึง การลงทุนนั้นไม่ได้ให้ผลกำไรหรือขาดทุน
ROI Analysis มีความสำคัญอย่างไร?
- ช่วยประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน
นักลงทุนหรือผู้บริหารสามารถใช้ ROI เพื่อพิจารณาว่าการลงทุนใดให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด - เปรียบเทียบทางเลือกการลงทุน
สามารถใช้ ROI เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการลงทุนหลายๆ ทางเลือก - สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ
หาก ROI เป็นบวกและสูง แสดงว่าการลงทุนมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดี - วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด
ในการตลาดดิจิทัล ROI สามารถช่วยวัดว่าการใช้จ่ายโฆษณาคุ้มค่าหรือไม่
ข้อจำกัดของ ROI
- ไม่คำนึงถึงคุณค่าของเงินตามกาลเวลา (Time Value of Money – TVM)
ROI ไม่ได้พิจารณาว่าผลตอบแทนที่ได้รับเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด เช่น การลงทุนที่ได้ ROI 50% ใน 1 ปี อาจดีกว่าการลงทุนที่ได้ ROI 100% ใน 10 ปี - ไม่คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยง
ROI ไม่ได้บอกว่าการลงทุนมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน เช่น การลงทุนที่ให้ ROI สูงอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนที่มี ROI ต่ำ - อาจใช้วิธีคำนวณที่ไม่เหมือนกัน
ในบางกรณี การคำนวณ ROI อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับต้นทุนที่ใช้ในการคำนวณ เช่น ใช้ต้นทุนรวม หรือเฉพาะต้นทุนผันแปร
ROI ช่วยวางแผนการลงทุนได้อย่างไร?
ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เป็นเครื่องมือสำคัญที่นักวิเคราะห์ทางการเงินและนักลงทุนใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของการลงทุน เปรียบเทียบโอกาสในการลงทุน ประเมินความเสี่ยง ตลอดจนวางแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน นอกจากนี้ ROI ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุน และสนับสนุนการวางแผนการลงทุนในระยะยาว
ROI ช่วยให้นักลงทุนสามารถวัดผลการลงทุนได้อย่างชัดเจน โดยเปรียบเทียบกำไรหรือขาดทุนกับต้นทุนที่ใช้ลงทุน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าการลงทุนนั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงใด การวิเคราะห์ ROI ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินกลยุทธ์การลงทุนของตนเอง ว่าควรดำเนินต่อไปหรือปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มผลประกอบการและเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น
ROI ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?
ROI ที่ดีขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุนและอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น
- ธุรกิจทั่วไป
หาก ROI สูงกว่า 10-20% ถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตดี - อสังหาริมทรัพย์
ROI มากกว่า 5-10% ต่อปี ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีและคุ้มค่าในระยะยาว - ตลาดหุ้น
ROI เฉลี่ยของตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7-10% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลสำหรับการลงทุนระยะยาว - ธุรกิจสตาร์ทอัพ
ควรมี ROI สูงกว่า 20-30% เพื่อชดเชยความเสี่ยงและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ลงทุน
การนำ ROI ไปใช้ในธุรกิจและการเงิน
- ใช้ในการประเมินโครงการลงทุน
ROI สามารถใช้เปรียบเทียบความคุ้มค่าของโครงการต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทต้องการเลือกว่าจะลงทุนในโครงการ A หรือโครงการ B สามารถคำนวณ ROI ของแต่ละโครงการเพื่อตัดสินใจว่าโครงการใดให้ผลตอบแทนสูงกว่า - ใช้วิเคราะห์ผลตอบแทนของการตลาด (Marketing ROI)
ROI ถูกใช้บ่อยในธุรกิจการตลาด เพื่อตรวจสอบว่า งบประมาณที่ใช้ไปกับโฆษณาหรือแคมเปญการตลาดให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจใช้เงินโฆษณา 10,000 บาท และได้ยอดขายเพิ่มขึ้น 50,000 บาท (โดยหักต้นทุนสินค้าแล้วเหลือกำไร 20,000 บาท) ROI จะเป็น
ROI=((20,000/10,000)×100))=200%
หมายความว่า ทุกๆ 1 บาทที่ใช้จ่ายไปกับการโฆษณาให้ผลตอบแทน 2 บาท - ใช้วัดผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ (Asset ROI)
ธุรกิจที่ลงทุนในเครื่องจักร อสังหาริมทรัพย์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถใช้ ROI เพื่อประเมินว่าการลงทุนในสินทรัพย์นั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ เช่น หากบริษัทซื้อเครื่องจักรใหม่มูลค่า 500,000 บาท และสามารถเพิ่มผลผลิตทำให้เกิดกำไรเพิ่มขึ้น 200,000 บาทต่อปี ROI จะเป็น
ROI=((500,000/200,000)×100))=40%
หาก ROI สูง ธุรกิจอาจพิจารณาลงทุนเพิ่ม หรือขยายการผลิต
การใช้ ROI ในอุตสาหกรรมต่างๆ
ROI ในอสังหาริมทรัพย์สามารถใช้วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าหรือการซื้อ-ขายเพื่อทำกำไร ตัวอย่างเช่น หากซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคา 6 ล้านบาท และปล่อยเช่าได้ 600,000 บาทต่อปี ROI ที่ได้คือ 10% อย่างไรก็ตาม ควรหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย และภาษี ก่อนคำนวณผลตอบแทนที่แท้จริง ในกรณีซื้อเพื่อปรับปรุงแล้วขาย หากลงทุน 6 ล้านบาท และขายได้ 7.5 ล้านบาท กำไรที่ได้คือ 1.5 ล้านบาท หรือ ROI 25%
ROI ใช้ในการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นและพอร์ตการลงทุน โดยหากซื้อหุ้นในราคา 1,500 บาท และขายได้ 1,800 บาท กำไรที่ได้คือ 300 บาท คิดเป็น ROI 20% นอกจากนี้ ROI ยังสามารถใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้น เทียบกับ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุด
สำหรับแคมเปญการตลาด ROI เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้วัดความคุ้มค่าของแคมเปญ เช่น หากใช้งบ 300,000 บาท ในแคมเปญโฆษณา และสร้างรายได้ 1.5 ล้านบาท ROI จะเท่ากับ 400% อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม เช่น การสร้างแบรนด์ และมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (Customer Lifetime Value) เพื่อให้เห็นภาพรวมที่แม่นยำยิ่งขึ้น
ในธุรกิจสตาร์ทอัพ ROI เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการประเมินโอกาสในการทำกำไร โดยนักลงทุนมักพิจารณาปัจจัย เช่น ขนาดตลาด อัตราการเติบโต และคุณภาพของทีมงาน เพื่อประเมิน ROI ของสตาร์ทอัพ เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้มักไม่ทำกำไรในช่วงแรก ROI ของสตาร์ทอัพจึงมักถูกคาดการณ์จากแนวโน้มการเติบโต มากกว่าการคำนวณจากผลกำไรที่เป็นตัวเงินโดยตรง
ROI ในธุรกิจค้าปลีกใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การวัดผลแคมเปญส่งเสริมการขาย โดยเปรียบเทียบกำไรที่เพิ่มขึ้นกับต้นทุนของแคมเปญ การตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ โดยคำนวณ ROI จากค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน เทียบกับกำไรที่คาดว่าจะได้รับ และการจัดการสินค้าคงคลัง โดยวัด ROI จากกำไรขั้นต้น เทียบกับต้นทุนของสินค้าแต่ละประเภท เพื่อระบุว่าสินค้าประเภทใดให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
การศึกษาความเป็นไปได้ Feasibility Study คือการประเมินความเหมาะสมและความคุ้มค่าของโครงการธุรกิจใหม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเงิน, ตลาด, เทคโนโลยี และทรัพยากร เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการสามารถดำเนินการได้และประสบความสำเร็จในระยะยาว การศึกษาเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงและสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูล หากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าไอเดียธุรกิจมีความเป็นไปได้สูง ขั้นตอนถัดไปคือการพัฒนาต่อยอดเป็นแผนธุรกิจที่สมบูรณ์ ซึ่งบริษัท Maz พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนธุรกิจเพื่อเสริมจุดแข็งและปิดจุดอ่อนให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน และเรา Maz พร้อมเคียงข้างคุณในทุกธุรกิจ คิดถึงคำปรึกษาด้านธุรกิจ คิดถึงเรา Maz
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ROI Analysis ใน Feasibility Study
ROI (Return on Investment) คือตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเปรียบเทียบกำไรสุทธิกับต้นทุนการลงทุน ความสำคัญคือช่วยประเมินความคุ้มค่า เปรียบเทียบทางเลือกการลงทุน สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด
สูตรคำนวณ ROI คือ (กำไรสุทธิ / ต้นทุนการลงทุน) x 100 หรืออีกวิธีคือ ((กำไรจากการลงทุน – ต้นทุนการลงทุน) / ต้นทุนการลงทุน) x 100 ผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์บ่งบอกว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน
ROI ที่ดีแตกต่างกันตามประเภทธุรกิจ: ธุรกิจทั่วไปควรมากกว่า 10-20%, อสังหาริมทรัพย์ควรมากกว่า 5-10% ต่อปี, ตลาดหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10% ต่อปี และธุรกิจสตาร์ทอัพควรมากกว่า 20-30% เพื่อชดเชยความเสี่ยง
ข้อจำกัดหลักมี 3 ประการ: ไม่คำนึงถึงคุณค่าของเงินตามกาลเวลา (Time Value of Money), ไม่พิจารณาปัจจัยความเสี่ยงของการลงทุน และมีวิธีคำนวณที่แตกต่างกันไปในแต่ละกรณีซึ่งอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการเปรียบเทียบ
ROI สามารถนำไปใช้ในหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าหรือซื้อขาย), ตลาดหุ้น (วัดผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์), การตลาด (วัดประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา), สตาร์ทอัพเทคโนโลยี (ประเมินโอกาสทำกำไร) และค้าปลีก (วิเคราะห์ประสิทธิภาพกลยุทธ์ต่างๆ)