Huawei ทะยานสู่อันดับ 2 ตลาดสมาร์ทโฟนโลกแซงไอโฟนภายในระยะเวลาอันสั้น
รายงานล่าสุดเกี่ยวกับยอดขายสมาร์ทโฟนรวมทั่วโลกในไตรมาส 2 ของ IDC (International Data Corporation)
Huawei ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาดสมาร์ทโฟนโลกเป็นครั้งแรก
ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15.4% จำนวนเครื่อง 54.2 ล้านเครื่อง
สูงกว่า Apple ที่มียอดจัดส่ง 41.3 ล้านเครื่อง
และรองจาก Samsung ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 20.9% ที่มียอดจัดส่ง 71.9 ล้านเครื่อง
Huawei ขึ้นสู่อันดับ 2 ของตลาดสมาร์ทโฟนโลกในไตรมาส 2 ด้วยจำนวนเครื่อง 54 ล้านเครื่อง
ซึ่งโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 41%
โดยการเติบโตดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากยอดขายของสมาร์ทโฟนรุ่นแฟล็กชิพ HUAWEI P20 Series ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั่วโลก และทำยอดขายได้ถึง 7 ล้านเครื่อง
แม้จะแพ้อันดับ 1 อย่าง Samsung แต่ยอดการเติบโต (Growth) ของ Huawei พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ แบบเหนือเมฆจริงๆ ครับ ในขณะที่ Samsung แม้จะได้ที่ 1 แต่การเติบโตนั้นค่อยๆ หย่อนลงมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Apple กราฟเลยครับ
Huawei ทุ่มงบพัฒนากว่า “4.56 แสนล้านบาท” จนได้ Mobile AI รุ่นแรกของโลก ในขณะที่เจ้าอื่นยังอยู่กับ Comfort Zone เดิมๆ
Huawei ทุ่มงบประมาณกว่า 14.9% (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4.56 แสนล้านบาท) ให้กับการลงทุนด้าน R&D
จากรายงาน 2017 EU Industrial R&D Investment Scoreboard
Huawei ติดอันดับ 6 ของบริษัทด้านเทคโนโลยีที่ใช้งบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดในโลก
เพื่อพัฒนาสินค้าทั้งด้านระบบ และด้านดีไซน์ จนเป็น Mobile AI รุ่นแรกของโลก ที่ประมวลผลได้เร็วขึ้น และทำงานได้ฉลาดขึ้นด้วย Machine Learning ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ และปรับแต่งระบบต่างๆ ให้กับผู้ใช้แต่ละคนได้
ในขณะที่ Apple และ Samsung ยังไม่ได้มีการอัพเกรด Product ใดๆ (จะมีก็ประเภทกล้องชัด จอใหญ่ ไร้ปุ่ม)
จึงส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนเทไปสนใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Mobile AI
Huawei มีโปรดักส์ครบทุก Segment ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อแตกต่างกัน
Huawei ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเท่านั้น เพราะปัจจุบันมือถือ/สมาร์ทโฟนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นของทุกคนในวงกว้าง แน่นอนว่าย่อมมีผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อแตกต่างกัน
Huawei จึงเอาใจผู้บริโภคทุกระดับตั้งแต่กลุ่ม Entry Market ราคาเพียง 3,000 – 5,000 บาท มีจุดขายที่ตระกูล Y
กลุ่ม Mass Segment ราคาจับต้องได้สบายกระเป๋า 5,000-15,000 บาทมีจุดขายที่ตระกูล Nova
และกลุ่ม Premium Segment ราคาสูงกว่า 15,000 บาทขึ้นไป อย่าง P series และ Mate series
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเข้ามาอุดช่องว่างในตลาดที่แบรนด์อื่นไม่มี
Huawei จัดในสัดส่วนของตลาดระดับพรีเมียม ระดับกลาง และระดับล่างอยู่ที่ 30 : 40 : 40 ตามลำดับ
Huawei เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ตัวท็อปหลากหลายที่ตอบโจทย์คนแต่ละ Segment
แน่นอนว่าการมีสินค้าที่ดีตอบโจทย์ผู้บริโภคแล้วนั้น จำเป็นต้องมีผู้สื่อสารที่ดีในการเข้าถึงกลุ่มคนนั้นๆ ด้วย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Huawei ได้จัดเต็มกับกลยุทธ์การใช้ “พรีเซ็นเตอร์” อย่างมาก
เพราะพลังของพรีเซ็นเตอร์จะช่วยให้คาแรคเตอร์ของแบรนด์ชัดขึ้น และเข้าถึงบริโภคได้ง่ายขึ้น
อย่างในปี 2015 Huawei เลือกใช้ “อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ”
ปี 2016 : “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม”
ปี 2017 : “กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” ส่วนรุ่น HUAWEI GR5 2017 เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง Huawei ได้ใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นผู้หญิง “มิว นิษฐา จิรยั่งยืน” เพื่อต้องการขยายฐานลูกค้าไปยังผู้หญิงมากขึ้น
ปี 2018 : “เบลล่า ราณี” พร้อมกับเคมเปญอันโด่งดังอย่าง FromMateToMate Huawei x “เต๋อ นวพล” เจาะกลุ่มอินดี้ โดยเฉพาะกลุ่มนักออกแบบได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย
จน Huawei สามารถสร้าง Brand Awareness ในช่วง 2 ปี จาก 60% ขึ้นมาเป็น 90%
ขณะที่ผู้บริโภคอยากซื้อแบรนด์หัวเว่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 40% ถือเป็นการบุกตลาดอย่างจริงจังและครอบคลุมทุก Segment ในไทย
ซึ่งกลยุทธ์การใช้พรีเซ็นเตอร์กลายเป็นกลยุทธ์หลักควบคู่กับการตลาดอื่นๆ เพราะสินค้าที่ดี ต้องควบคู่กับการตลาดที่ดี มี Influencer ทำให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
Huawei เลือกพันธมิตรกับแบรนด์ดังระดับโลกเพื่อเพิ่มความอิมแพ็คให้แบรนด์มากขึ้น (Partnership Marketing)
ในปี 2016 Huawei มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ HUAWEI P9 Series โดยใช้กลยุทธ์ Partnership Marketing
ด้วยการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์กล้องระดับ Luxury อย่าง “Leica” และ “Porsche Design” ในด้านการตลาดก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ Brand Build Brand ที่มีอิมแพ็คอย่างมหาศาล
ซึ่งกลยุทธ์นี้ถือเป็น #กุญแจสำคัญ ของ Huawei ในการสลัดคราบแบรนด์ Made In China ให้เป็น Global Brand แล้ว แถมยังได้สาวกของแต่ละแบรนด์ดังที่ร่วมมาเป็นลูกค้าได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี Partner ที่ทรงพลังอีกมากมาย เช่น Google, Harman/Kardon, Intel, Microsoft, Audi, Swarovski ที่ร่วมมือกันพัฒนาระบบ และพัฒนาตัวสินค้าไปพร้อมๆ กัน
กลยุทธ์ด้านบริการของ Huawei ในประเทศไทย
Huawei ได้ร่วมมือกับ Huawei Consumer Business Group Thailand สู่คอนเซ็ปต์ one plus one หรือ 1+1
เปิดโอกาสให้คนไทยเข้ามาร่วมบริหาร ด้วยอำนาจในการตัดสินใจเท่ากับผู้บริหารจากจีน เพื่อให้ Huawei มีความเข้าใจตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภคท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้สามารถสร้างช่องทางขายได้ครอบคลุมมากกว่า 80% เพิ่มความสะดวกและการเข้าถึงสินค้าให้กับผู้บริโภค จากแบรนด์ช็อป จากเดิมมีประมาณ 30 ช็อป และจะขยายให้ได้ 140 ช็อป
Huawei ได้ขยายแบรนด์ช็อป พร้อมทั้งพัฒนาบริหารหลังการขาย จากเดิมที่มีศูนย์บริการ 9 ศูนย์ ปัจจุบันขยายเป็น 14 ศูนย์
และเริ่มให้บริการ Door 2 Door Service หรือการส่งพนักงานไปรับ และส่งสินค้าที่ส่งซ่อมฟรี และจะขยายบริการลักษณะเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกที่สุดให้ลูกค้าในทุกระดับ
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า Huawei เน้นความครอบคลุม เข้าถึง จึงสามารถซื้อใจผู้บริโภคได้ทุก Segment กลายเป็นม้ามืดในตลาดสมาร์ทโฟน พุ่งทะยานขึ้นมาสู้อันดับที่ 2 แซง iPhone รอง Samsung ได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนดราม่าสกัดดาวรุ่ง Huawei นั้นจะเป็นอย่างไร อันนี้ก็ต้องรับชมกันต่อไปนะครับ
อ่านข้อมูลบริการเพิ่มเติม https://mazmaker.com/business-planning-and-analytics