มีประเด็นน่าสนใจเรื่องนึง เกี่ยวกับการตลาดใน TEDx Talk
คุณเชื่อไหมว่า “เรื่องการตลาดไม่มีคำว่าโชคดีหรอก มีแต่การวางแผนการตลาดที่ดีเท่านั้น”
Franz Schrepf
จากนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ธรรมดาๆ ที่จบมาเป็นพนักงานธนาคารแถวบ้านเกิด ชีวิตไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ทำไมเขาถึงได้มายืนพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใน TEDxAUCollege ล่ะ?
Franz ก็เป็นนักศึกษาธรรมดาที่ได้เรียนทฤษฎีทางด้านเศรษฐศาสตร์มากมาย แต่ก็เหมือนคนทั่วๆ ไปที่ยังเอาทฤษฎีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ แต่เขาเริ่มสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวเขา ทั้งจากพฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และจากการทำการตลาดจากแบรนด์ต่างๆ รอบตัวเขา จนสรุปเป็นหัวข้อที่น่าสนใจได้ว่า “There is No Luck. Only Good Marketing”
#ในวงการการตลาดไม่มีคำว่าโชคดี คงเป็นคำพูดที่หลายคนคงคุ้นเคยกันดี แต่ Franz ได้ขยายความ และรวมเข้ากับหลักการทำการตลาดอย่างน่าสนใจไว้ว่า : ตามหลักการทำการตลาดโดยพื้นฐานทั่วไป การที่สินค้า/แบรนด์ของคุณจะเข้ามาแข่งขันในตลาดได้นั้น อย่างน้อยที่สุดคุณก็ควรจะผ่าน “กลยุทธ์ 4P / 4C” ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ทุกคนพอจะเข้าใจกันอยู่บ้าง
>> หลักการตลาด 4P หรือ ส่วนผสมทางการตลาด (Marketing Mix)
Franz ก็ได้ยกตัวอย่างสินค้าที่ใกล้ตัวที่สุดนั่นก็คือ #ตัวของเราเอง เขาเริ่มจากการสังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกค้าที่มาใช้บริการ บางคนดูมีความสุข ชีวิตหน้าที่การงานดี ในขณะที่บางคนทุกข์ คุณภาพชีวิตไม่ค่อยดีนัก มีหลายคนที่อยากเป็นซุปเปอร์สตาร์ มีรถสปอร์ต มีคนดูแล คนชอบมากมาย แต่ทำไมมีเพียงคนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ประสบความสำเร็จ
▶ เริ่มจาก P ที่ 1 : PRODUCT
หากคุณต้องการไปอยู่ในโพสิชั่นของ #Superstar ความสามารถของตัวคุณในตอนนี้คือเท่าไหร่ คุณฝึกซ้อมมากแค่ไหน คุณแบ่งเวลามาพัฒนาตัวคุณเท่าไหร่ คุณเสียสละอะไรบ้างเพื่อให้มีความสามารถ + ทักษะในการเป็น Superstar
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดคืออยากเป็นเพียงเพราะว่าต้องการความร่ำรวยแบบสบายๆ โดยที่ไม่ได้ลงทุนหรือเสียสละอะไรเลย (เช่น เวลาในการพักผ่อน อุทิศร่างกายให้การฝึกซ้อม ยอมเสียสังคม/เพื่อน ฯลฯ)
▶ P ที่ 2 PLACE
หากจะเป็น Superstar การจะทำให้ผู้คน หรือตลาดหันมาสนใจได้คือคุณจะต้องรู้ถึง “Customer Inside” ของกลุ่มลูกค้า เช่น คุณจะเป็น Rock Star แต่สถานที่ที่คุณไปโชว์ตัวเองคือ กลุ่มที่สนใจเพลง Classic คุณว่าพวกเขาจะสนใจคุณไหม?
ซึ่งไม่แน่หากคุณโดดเด่นมากๆ เขาก็อาจสนใจคุณก็ได้ แต่หากมีนักร้องสายเพลง Classic มาโชว์ด้วยล่ะ คุณคิดว่าคุณที่เป็นสายเพลง Rock จะดึงดูดความสนใจจากคนดูที่ชอบเพลง Classic ได้เท่าเขารึเปล่า ?
นั่นคือสิ่งที่คุณจะต้องวิเคราะห์และพัฒนา ปรับปรุงไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเปลี่ยนสถานที่ไปเลย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย/น่าเสียใจอะไร ในทางการตลาดจะเรียกสิ่งนี้ว่า R&D ประกอบด้วยการ วิเคราะห์ วิจัย & พัฒนาปรับปรุง ตลอดเวลาจนกว่าจะเป็น The Base Version หรือเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าจริงๆ
▶ P ที่ 3 และ 4 : PRICE และ PROMOTION
Price และ Promotion ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่คุณกำลังจะทำนั้น สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับ Product / Place และ เป้าหมายของคุณรึเปล่า
ซึ่งมีประโยคนึงที่ชอบมาก
“When you see something successful ask yourself what are his costs. Because this didn’t come for free there must be some costs behind it. And ask yourselves would you be willing to pay it.”
“เมื่อคุณเห็นคนประสบความสำเร็จ ให้คิดดูว่าเขาต้องเสียสละอะไรไปบ้าง เพราะความสำเร็จไม่ใช่อะไรที่ได้มาฟรีๆ เบื้องหลังเขาต้องเสียอะไรไปหลายอย่างแน่นอน แล้วย้อนกลับมาถามตัวคุณเองว่า คุณพร้อมที่จะยอมเสียสิ่งเหล่านั้นไปเหมือนกันรึเปล่า”
สามารถชมคลิปวิดีโอ TEDxAUCollege ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=AN-41JjIPEg
——————————————–
เพื่อให้เข้าใจเรื่องกลยุทธ์ 4P มากขึ้น ผมจะขอยกตัวอย่างจาก การตลาดของ #CocaCola หรือ #โค้ก เครื่องดื่มน้ำดำมาเป็นกรณีศึกษา
4P ของ Coca-Cola (โค้ก)
▶ P ที่ 1 : PRODUCT
โค้ก บอกเล่าตัวตนว่าเป็น ‘Experience’ of happiness and joy. ผ่านเครื่องดื่มที่มีฟองสีดำ ภายใต้โลโก้ที่มีสีขาว+แดง โค้กในช่วงแรกก็ยังไม่มีภาพจำของแบรนด์ที่ชัดเจน แต่ก็ได้พัฒนา+ปรับปรุงมาเรื่อยๆ (R&D) จนกระทั่งในช่วงปี 1931 ช่วงที่อเมริกาพบกับ #ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่(Great Depression) ทำให้โค้กต้องเร่งทำการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย
การแก้ปัญหาของโค้กในตอนนั้นคือการให้ศิลปินชื่อ Sundblom วาดภาพ “ซานตาคลอส” ในปี 1931 และใช้ซานตาคลอสนั้นทำแคมเปญ ซึ่งก่อนหน้านั้น Coca Cola ก็เคยใช้ซานตาคลอสในการทำแคมเปญมาก่อน แต่เป็นซานตาคลอสที่มีรูปร่างน่ากลัว เป็นคนผอมๆ แต่หลังจากการรีแบรนด์ตัวซานตาคลอสใหม่ให้อ้วน ดูใจดีโดยฝีมือของ Sundblom โค้กก็ใช้ซานตาคลอสทำการตลาดมาโดยตลอด
จะสังเกตได้ว่าสีโลโก้ของโค้กก็เป็นสีเดียวกันกับเสื้อซานตาคลอส นั่นก็คือสีแดงขาว ซึ่งโค้กเพิ่งเปลี่ยนโลโก้มาเป็นสีแดงขาวในช่วง 1950 หรือประมาณ 20 ปีให้หลังจากการที่โค้กประสบความสำเร็จโดยใช้ซานตาคลอสทำการตลาด
▶ P ที่ 2 : PRICE
ด้านราคา โค้กเลือกวิธีท้าทายอย่างมาก เพราะในปี 1886 ถึง 1959 (73 ปี) โค้กนั้นมีราคาคงที่มาตลอดคือราคาเพียง 5 เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันที่ดุเดือดจาก #เป็ปซี่ ที่เป็นคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดน้ำดำ ที่สามารถทดแทนกันได้แทบจะ 100% ถ้าหากโค้กขึ้นราคา ผู้บริโภคก็จะหันไปซื้อเป็ปซี่แทน ในทางกลับกันหากจะลดราคาลงผู้บริโภคก็จะเกิดความสงสัยในด้านคุณภาพของสินค้า
▶ P ที่ 3 : PLACE
ด้านสถานที่ โค้กเริ่มจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในยุค 1889 โดยการนำโลโก้ของตัวเองไปแปะไว้ในทุกจุดในร้านอาหารที่เด่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา ปฏิทิน ถังน้ำ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดภาพจำเกี่ยวกับแบรนด์ และใช้กลยุทธ์ Franchise Model ในการช่วยให้โค้กสามารถกระจายสินค้าได้ในทุกที่ทั่วโลก
▶ P ที่ 4 : PROMOTION
กลยุทธ์ที่น่าสนใจของแบรนด์นี้มีหลายแคมเปญมาก ยกตัวอย่างเช่น
– Taste the Feeling’ Campaign
เป็นแคมเปญในช่วงปี 2016 กระตุ้นให้ผู้บริโภคแบ่งปันความรู้สึกต่างๆ ในโซเชียลมีเดียภายใต้แฮชแท็ก #TasteTheFeeling เบื้องหลังสิ่งที่โค้กกำลังเผชิญอยู่นั้นคือ รายได้ที่ลดลงมากถึง 7 % (1.3พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการดำเนินการทำ Taste the Feeling’ Campaign นั้นคิดเป็นค่าใช้จ่ายมากถึง $722m (722ล้านดอลลร์สหรัฐ) คิดเป็น 4 % ของรายได้ทั้งหมด และยังมีแคมเปญต่างๆอีกมากมายที่โค้กยังไม่หยุดพัฒนาตนเอง เช่น
• Coca Cola with Ice campaign
• Love Story
• London 2012
• Super Bowl 2012
• A Sleepover in the Christmas truck
• Share a Coke’ Campaign
• We Do
• The Friendship Experiment
• The Ahh Effect
จะเห็นได้ว่าการประสบความสำเร็จในการเป็นแบรนด์ระดับโลกของโค้กนั้น คงไม่ได้มาจากโชคดี แต่ต้องแลกมากับการลงทุน ปรับปรุง และพัฒนาอย่างหนัก จนสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างในทุกวันนี้ คุณเองก็เช่นกันลองทำการตลาดให้เหมาะสมกับตัวคุณเอง โดยการนำหลักกลยุทธ์ 4P มาปรับใช้ในชีวิตแล้วรึยัง?
อ่านข้อมูลบริการเพิ่มเติม https://mazmaker.com/marketing-plan-customer-analytics