Agentic AI ก้าวใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานเองได้

Agentic AI ก้าวใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานเองได้
สารบัญ

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เรากำลังเข้าสู่ช่วงที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้แค่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการทำงานเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็น AI ธุรกิจ และ AI Solution ผู้ช่วยที่สามารถทำงานได้อย่างอิสระและมีความสามารถในการตัดสินใจเองได้ ซึ่งเรากำลังพูดถึง Agentic AI นวัตกรรมที่ก้าวล้ำและมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราใช้งาน AI ในชีวิตประจำวันแบบเดิมๆ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Agentic AI และอธิบายว่าเทคโนโลยีนี้จะมีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในอนาคตอย่างไร? มีความสามารถในการลดภาระงานและมีความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างไร?

Agentic AI คืออะไร และมีความสามารถในการทำงานอย่างไร

Agentic AI คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการตัดสินใจและดำเนินการต่าง ๆ ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมดูแลจากมนุษย์ตลอดเวลา หรือไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ในการดำเนินการ โดยระบบนี้สามารถตั้งเป้าหมายในการทำงานเพื่อให้ Agentic AI บรรลุเป้าหมายนั้นได้ตามลำพัง โดยระบบนี้สามารถจัดการกับงานที่มีความซับซ้อนและมีความไม่แน่นอนได้ดีมาก

ซึ่งในขณะที่ AI ธุรกิจ หรือ AI Solution แบบเดิม ส่วนใหญ่จะมีขีดจำกัดในการทำงาน โดยมักต้องมีการควบคุมดูแลจากมนุษย์ในการตั้งโปรแกรม หรือการป้อนข้อมูลคำสั่งเพื่อให้ AI ทำงาน นอกจากนี้ Agentic AI ยังมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับมาในการพัฒนาและปรับวิธีการทำงานของมันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปกติ AI ปกติ อาจจำเป็นต้องมีการอัปเดตหรือการเขียนโปรแกรมใหม่จากมนุษย์เพื่อให้สามารถทำงานในบริบทใหม่ ๆ ได้

กระบวนการทำงานของ Agentic AI

1.การรับข้อมูล (Perception)

คือขั้นตอนที่ AI รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม เช่น ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ การอ่านข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือการรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอก

2.การประมวลผลข้อมูล (Data Processing)

หลังจากที่ AI ได้รับข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการประมวลผลข้อมูล ซึ่ง AI จะประมวลผลข้อมูลเหล่านั้น เช่น การกรองข้อมูลที่ไม่สำคัญ หรือการตรวจจับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

3.การวิเคราะห์และการตัดสินใจ (Analysis and Decision-Making)

ขั้นตอนนี้ Agentic AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ และ ตัดสินใจ ว่าควรดำเนินการต่อไปอย่างไร เช่น การเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด การเลือกกลยุทธ์ในการตอบสนอง หรือการตัดสินใจในการทำงาน

4.การวางแผนและการดำเนินการ (Planning and Action)

หลังจากที่ AI ตัดสินใจแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการของการวางแผนและดำเนินการ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การวางแผนนี้อาจรวมถึงการเลือกเครื่องมือหรือกระบวนการที่ต้องใช้ในการดำเนินงาน

5.การติดตามผลและปรับปรุง (Monitoring and Feedback)

หลังจากที่ Agentic AI ได้ประมวลผลออกมาแล้ว จะทำการติดตามผลเพื่อดูว่าการตัดสินใจและการดำเนินการประสบความสำเร็จหรือไม่ หากพบว่าไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง AI จะใช้ Feedback เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจในครั้งถัดไป

6.การเรียนรู้จากประสบการณ์ (Learning)

กระบวนการสุดท้ายที่สำคัญคือการเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่ง AI จะนำข้อมูลจากการดำเนินการที่ผ่านมาและผลลัพธ์ที่ได้มานำมาพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจในอนาคต

เทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อน Agentic AI

1.Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง)

Machine Learning เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้ Agentic AI สามารถเรียนรู้ข้อมูลที่ได้รับโดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมดูแลจากมนุษย์

  • ช่วยให้ AI สามารถปรับตัวกับการทำธุรกิจในปัจจุบัน
  • ปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นตามประสบการณ์และข้อมูลใหม่ ๆ

2.Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก)

Deep Learning คือเทคนิคที่ใช้โครงข่ายประสาทเทียมที่มีหลายชั้น (neural networks) โดยโครงข่ายประสาทเทียมนี้จะประกอบด้วย ชั้นของเซลล์ประสาทจำลอง (neurons) ที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย โดยแต่ละชั้นจะทำหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลทีละขั้น เพื่อให้ AI สามารถจับลักษณะหรือคุณสมบัติที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ Agentic AI สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น รูปภาพ เสียง หรือข้อมูลที่ไม่เป็นระเบียบได้ โดยที่ AI สามารถ “เรียนรู้” และเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นได้เอง ผ่านการฝึกฝนจากข้อมูลจำนวนมาก เพื่อให้สามารถตัดสินใจหรือทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น

  • ช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
  • ช่วยให้ AI ทำงานกับข้อมูลที่มีความซับซ้อน เช่น ภาพ เสียง หรือข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง

3.Natural Language Processing (การประมวลผลภาษาให้มีความเป็นธรรมชาติ)

Natural Language Processing (NLP) ช่วยให้ Agentic AI สามารถเข้าใจและประมวลผลภาษาในรูปแบบที่มนุษย์ใช้ เช่น การพูดหรือการเขียน

  • ช่วยให้ AI สามารถสื่อสารด้วยข้อมูลจริง มีแหล่งอ้างอิง
  • ช่วยให้ AI สามารถตอบสนองต่อคำถามของมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

4.Reinforcement Learning (การเรียนรู้แบบเสริมแรง)

Reinforcement Learning (RL) คือกระบวนการที่ AI เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก โดยทำการกระทำในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ และได้รับรางวัลหรือบทลงโทษตามผลลัพธ์ของการกระทำนั้นๆ เป้าหมายของ RL คือให้ AI เรียนรู้วิธีทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้รางวัลมากที่สุดในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การฝึกให้หุ่นยนต์เรียนรู้การเดินหรือให้โปรแกรมเล่นเกมเก่งขึ้นจากการเล่นซ้ำๆ จนสามารถตัดสินใจได้ดีที่สุดเอง

  • ช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้และปรับกลยุทธ์การทำงานให้ดีที่สุดจากผลตอบรับที่ได้รับ

5.Autonomous Decision-Making Systems (ระบบการตัดสินใจอัตโนมัติ)

Autonomous Decision-Making คือระบบที่ช่วยให้ Agentic AI สามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องมีการควบคุมดูแลจากมนุษย์

  • ช่วยให้ AI สามารถทำงานได้อิสระและตัดสินใจได้ในทันที

6.Robotics Process Automation (RPA)

Robotics Process Automation (RPA) คือการใช้ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ทำงาน เช่น การกรอกข้อมูล การคำนวณ หรือการจัดการเอกสาร โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงาน ช่วยให้การทำงานเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และลดข้อผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในการทำงานที่ซ้ำซ้อน

  • ช่วยให้การทำงานซ้ำซากและซับซ้อนสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้แรงมนุษย์

7.Knowledge Graphs (กราฟความรู้)

Knowledge Graphs ช่วยให้ Agentic AI สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่ซับซ้อนได้ การใช้กราฟความรู้ช่วยให้เข้าใจข้อมูลในเชิงลึกง่ายและเร็วขึ้น

  • ช่วยให้ AI สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ
  • ตอบคำถามหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8.Predictive Analytics (การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์)

Predictive Analytics ช่วยให้ Agentic AI สามารถทำนายเหตุการณ์ในอนาคตโดยการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว

  • ช่วยให้ AI สามารถคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตและทำการตัดสินใจล่วงหน้าได้

โดยสรุปแล้ว Agentic AI คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการทำงานและตัดสินใจได้โดยอิสระ หรือมีความสามารถในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยไม่ต้องมีการควบคุมดูแลจากมนุษย์อย่างต่อเนื่อง กล่าวง่ายๆคือ AI ที่สามารถทำงานได้เหมือน “ตัวแทน” ที่รับผิดชอบในการตัดสินใจ และการกระทำต่างๆ โดยใช้ข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่มีในการนำมาพัฒนา ประติดประต่อและตัดสินใจ มันสามารถปรับตัวและเรียนรู้จากข้อมูลเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น การจัดการงานที่ซับซ้อน หรือการตัดสินใจในธุรกิจและระบบต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา